สวดโอ้เอ้วิหารราย เป็นการสวดฝึกซ้อมของนักเทศน์ในสมัยก่อน แล้วพัฒนาเปลี่ยนแปรมาเป็นการสวดที่มีท่วงทำนองช้าเร็วให้ความไพเราะแก่ผู้ฟังก่อนที่จะได้ฟังเทศน์มหาชาติจริง ๆ การสวดโอ้เอ้วิหารรายนั้นแต่เดิมจะมีทำนองอย่างใดไม่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายไว้ว่าการสวดโอ้เอ้วิหารรายมีสามทำนองคือ ยานี ฉบัง และสุรางคนาง เดิมทีใช้บทเทศน์มหาชาติเป็นบทสวด แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นบทสวดเทียบมูลตามตำราที่เรียนในขณะนั้นคือ บทเรียนมาตราตัวสะกดจากเรื่อง พระไชยสุริยา แต่งโดย พระสุนทรโวหาร(ภู่)
จุลลดา ภักดิ์ภูมินทร์(เว็บไซด์. ๖ มิถุนายน ๒๕๕๒) ได้กล่าวถึงการสวดโอ้เอ้วิหารรายไว้ดังนี้ "เรื่อง 'โอ้เอ้วิหารราย' ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึง ยืดยาด อ้อยอิ่ง ล่าช้าเรื่องนี้พบใน 'สาส์นสมเด็จ' ฉบับลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ท่านว่า เค้ามูลการสวดโอ้เอ้วิหารรายนั้น มาจากเมืองนครศรีธรรมราช การที่มีเด็กสวดตามศาลารายในวัดพระแก้วนั้น เพิ่งมีขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยที่โรงทานข้างประตูต้นสน ครั้นถึงเทศกาลสวดมหาชาติคำหลวงในโบสถ์วัดพระแก้ว จึงโปรดฯให้จัดเด็กนักเรียนที่โรงทานมาสวดโอ้เอ้วิหารรายอย่างโบราณที่ศาลารายเลยเป็นธรรมเนียมมาจนในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งเลิกโรงเรียนที่โรงทาน พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าฯ จึงทรงมีพระบรมราชาธิบายประกาศว่าสวดหนังสือสวดอย่างเช่นเด็กๆ สวดนั้น เรียกชื่อว่าสวดโอ้เอ้พิหารราย จะสวดที่พิหารรายก็ดี สวดที่พระระเบียงก็ดี สวดที่พิหารใหญ่ ที่ศาลา กุฎี ที่ใดๆ ก็ดี ก็คงเรียกชื่อยืนอยู่อย่างเดียวว่า โอ้เอ้พิหารราย ไม่ยักย้ายไปตามที่สวดเลย"
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิต พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๔๐๒) ให้ความหมายของการสวดโอ้เอ้วิหารราย หมายถึง การสวดกาพย์ลำนำเป็นทำนองอย่างที่นักเรียนสวดตามศาลารายวัดพระศรีรัตนศาสดารามในวันเข้าพรรษา วันกลางพรรษาและวันออกพรรษา ว่า สวดโอ้เอ้วิหารราย
เห็นได้ว่า การสวดโอ้เอ้วิหารรายมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นการจัดการเรียนการสวดมหาชาติโดยให้นักเรียนได้ลงฝึกซ้อมคลอเสียงตามต้นแบบ แต่เมื่อผ่านนานวันเข้าก็กลายทำนองให้เนิบช้า และแปลกไปจากเดิม จึงกลายมาเป็นทำนองการสวดในยุคปัจจุบัน
การสวดโอ้เอ้วิหารรายเดิมทีจะมีท่วงทำนองอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจน แต่น่าจะมีเค้ามาจากทำนองการเทศน์มหาชาติ เนื่องจากการสวดโอ้เอ้วิหารรายสืบเนื่องมาจากการฝึกหัดเทศน์มหาชาติแล้วค่อยกลายทำนองมาเป็นทำนองเฉพาะโอ้เอ้วิหารรายในปัจจุบัน นันทา ขุนภักดี(เทปคาสเซ็ท. ม.ป.ป.) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชาธิบายไว้ว่า การสวดโอ้เอ้วิหารรายเป็นการสวดในวิหารรายที่อยู่รอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสามทำนองซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีสามทำนองไม่เปลี่ยนแปลง มีท่วงทำนองการสวดดังนี้
๑. ทำนองยานี
ทำนองยานีเป็นทำนองที่เร็วว่องไวฟังดูแล้วสนุกสนานมีการออกเสียง / เอิง เอิง หึ เอ้ย /เอิง เอิง เอย/ เอ่อ หึ เออ หึ เอ้ย /เออ เอ๊ย/ชะเออ หึ เอิง เอิง เอย / แทรกระหว่างคำซึ่งทำนองจะจบลงในหนึ่งบาทเท่านั้น ครั้นเมื่อขึ้นบทใหม่ก็จะใช้ทำนองเดิมซ้ำอีก
ตัวอย่าง
สะธุสะจะขไหว้
พระศรีไตรสะระณา
พ่อแม่แลครูบา
เทวะดาในราษี ฯ
เมื่อจะสวดจะออกเสียงระหว่างวรรคแทรกการเอื้อน ดังนี้
บาท ๑ สะ ธุ สะ(เอิง เอิง หึ เอ้ย)จะ(เอิง เอิง เอย)ขอไหว้(เอิง เอิง หึ เอ้ย)
พระ(เอิง เอิง เอย)ศรีไตร(เอ่อ หึ เออ หึ เอ้ย)สะ(เออ เอ๊ย)รนา(ชะเออ หึ เอิง เอิง เอย)
บาท ๒ พ่อแม่(เอิง เอิง หึ เอ้ย)แล(เอิง เอิง เอย)ครูบา(เอิง เอิง หึ เอ้ย)
เท(เอิง เอิง เอย)วดา(เอ่อ หึ เออ หึ เอ้ย)ใน(เออ เอ๊ย)ราศี(ชะ เออ หึ เอิง เอิง เอย)
ครั้นเมื่อจะสวดบทต่อไปก็แทรกลูกเอื้อนดังบทแรกโดยทำนองจะจบลงในหนึ่งบาทตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
๒. ทำนองฉบัง
การสวดโอ้เอ้วิหารรายในทำนองฉบังนั้นเป็นท่วงทำนองที่เนิบช้าลงมาอีก ซึ่งทำนองยานีจะเร็วสุด ทำนองฉบังจะเป็นทำนองกลางที่ไม่ช้าและเร็วเกินไป มีเอื้อนยาวและดยนจังหวะเร็วเพื่อความไพเราะสนุกสนาน มักแทรกคำเอื้อนว่า /เออ หึ เอ่อ เอ้อ เอ๊ย/ เอิ๊ง เอย/ ฮะ เออ เอ่ย/ เอย / เออ เอ่อ เอ้อ เอ๊ย/ เอิ๊ง เอ่ย/
ตัวอย่าง
พระไชยสุริยาภูมี
พาพระมเหษี
มาที่ในสำเภา
เมื่อจะสวดจะออกเสียงระหว่างวรรคแทรกการเอื้อน คือ
พระไชยสุริยา(เออ หึ เอ่อ เอ้อ เอ๊ย)ภูมี พาพระ(เอิ๊ง เอย)มเหสี
มาที่(ฮะ เออ เอ่ย)ในลำ(เอย เออ เอ่อ เอ้อ เอ๊ย)สำเภา (เอิ๊ง เอ่ย)
ครั้นเมื่อจะสวดบทต่อไปก็แทรกลูกเอื้อนเป็นตั้งบทแรกโดยทำนองจะจบลงในหนึ่งบทเท่านั้นเอง