กลอนบทละคร
กลอนบทละคร คือ คำกลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครรำ เช่น พระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง รามเกียรติ์, พระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องอิเหนา เป็นต้น
หลักเกณฑ์ในการแต่งโดยทั่วไปก็เหมือนกับการแต่งกลอนสุภาพแต่ละวรรคมีคำได้ตั้งแต่ ๖-๙ คำ การนับกลอนบทละครจะนับเป็นคำกลอนคือ ๒ วรรคเท่ากับ ๑ คำกลอน การจะใช้คำมากน้อยขึ้นอยู่กับทำนองร้องเป็นสำคัญ
กฎของกลอนบทละคร
๑. กลอนบทละครใช้คำในวรรคหนึ่งได้ตั้งแต่ ๖ - ๙ คำ แต่นิยมกันมักเป็น ๖ หรือ ๗ คำ เพราะเข้าจังหวะและทำนองร้องได้ดีกว่า แต่ที่ใช้ ๘ คำก็มี การที่จะใช้คำมากหรือน้อยนั้นต้องถือทำนองเพลงที่จะใช้ร้องเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น การแต่งบทละครออกแสดงจริงๆ จึงต้องซ้อมบทให้เข้ากับทำนองร้องและปี่พาทย์ เพราะเหตุนี้คำที่ใช้ในวรรคหนึ่งๆ ของกลอนบทละครจึงมีมากบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน
๒. สัมผัสให้ถือหลักเกณฑ์ดังกล่าวในกลอนสุภาพ เพราะกลอนบทละครเป็นกลอนผสมในบทหนึ่งอาจจะมีกลอน ๖,๗,๘ หรือ ๙ คำรวมกันก็ได้ ถ้าวรรคไหนใช้กลอนอะไรก็ให้ใช้สัมผัสตามกฎของกลอน
๓. กลอนบทละครอิงอาศัยทำนองร้องและปี่พาทย์เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นเสียงนิยมที่ใช้ท้ายวรรค จึงไม่สู้จะพิถีพิถันเคร่งครัดตามระเบียบมากนัก
๔. วรรคแรกของกลอนบท ละครนิยมใช้ คำนำ หรือ คำขึ้นต้น เช่น เมื่อนั้น , บัดนั้น, น้องเอ๋ยน้องรัก หรือมาจะกล่าวบทไป เป็นต้น เพื่อจะขึ้นความใหม่หรือเปลี่ยนทำนองร้องใหม่ คำนำบางคำ เช่น เมื่อนั้น , บัดนั้น เป็นต้น ยังเป็นประโยชน์ในการเตือนให้ตัวละครรู้ตัวว่า ถึงคราวของตนที่ต้องแสดงบทบาทแล้ว คำนำนี้บางทีก็ใช้ ๒ พยางค์ บางทีก็ใช้ ๔ พยางค์ แต่ก็ต้องนับเป็นหนึ่งวรรคเต็ม เพราะเวลาร้องต้องเอื้อนเสียงให้ยาวมีจังหวะเท่ากับวรรคธรรมดา
เมื่อนั้น สำหรับใช้ขึ้นต้นตอนที่กล่าวถึงตัวละครสำคัญของเรื่องหรือของตอนหรือตัวละครที่อยู่ในชั้นกษัตริย์เป็นพระเอกนางเอก
บัดนั้น สำหรับใช้ขึ้นต้นตอนที่กล่าวถึงตัวละครที่ไม่สำคัญที่อยู่ในชั้นข้าราชบริพาร เช่น ตัวเสนา ตัวตลก ยักษ์ หรือทหาร เป็นต้น
มาจะกล่าวบทไป สำหรับเมื่อจะเปลี่ยนเรื่องมาเล่าเรื่องใหม่
น้องเอ๋ยน้องรัก สำหรับกล่าวถึงนางอันเป็นที่รัก